เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ "มาร์ติเน วอส" (Martine Vos) อาสาสมัครประจำมูลนิธิช่วยเหลือแมว Cat Shelter Limburg ในเมืองโลโอโปลด์สบูร์ก ประเทศเบลเยียม ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีรายหนึ่งว่า พบเห็นลูกแมวขนสีดำตัวน้อยสภาพน่าสงสารมากถูกทิ้งให้อยู่ลำพังในป่า ซึ่งลูกแมวตัวดังกล่าวน่าจะมีอายุได้เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นด้วย เมื่อมาร์ติเนได้ยินเรื่องทั้งหมดเธอก็ไม่รอช้ารีบเดินทางลงพื้นที่เพื่อเข้าช่วยเหลือลูกแมวตัวน้อยในทันที หลังจากที่มาร์ติเนไปถึงที่หมายก็ได้พบกับพลเมืองดีผู้แจ้งเรื่องเป็นคุณลุงใจดีท่านหนึ่งขณะที่เขากำลังดูแลลูกแมวตัวน้อยอยู่ ลูกแมวตัวเล็กมากร้องงอแงด้วยเสียงเล็กแหลมและน่าจะมีอายุได้เพียงแค่ไม่กี่วันตามที่ได้รับแจ้งก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นไปได้มากว่าลูกแมวน่าจะไม่อยู่ลำพังแม่แมวน่าจะอยู่ใกล้ๆ และอาจจะมีลูกแมวตัวอื่นๆ อีก... เพื่อความแน่ใจมาร์ติเนและคุณลุงพลเมืองดีจึงเดินสำรวจดูบริเวณรอบๆ จุดที่พบลูกแมวตัวดังกล่าวด้วย แต่ทว่ากลับไม่พบแม่แมวหรือลูกแมวตัวอื่นๆ เลย...
.
เมื่อแน่ใจว่ามีลูกแมวตัวน้อยอยู่ลำพังเพียงหนึ่ง มาร์ติเนจึงพาลูกแมวตัวดังกล่าวเดินทางกลับไปดูแลที่มูลนิธิฯ จนกว่าลูกแมวจะเติบโตแข็งแรงและพร้อมมากกว่านี้... หลังจากที่ได้ใกล้ชิดระหว่างเดินทางกลับมาร์ตินเนก็รู้สึกว่าลูกแมวตัวดังกล่าวมีลักษณะที่แตกต่างจากลูกแมวทั่วๆ ไป แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนกระทั่งเวลาผ่านไป... ตัวตนของลูกแมวน้อยของมาร์ติเนก็ถูกเปิดเผยว่า...ความจริงแล้วเธอไม่ใช่ลูกแมวอย่างที่คิด ซ้ำร้ายยังไม่ได้เป็นสัตว์ในสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับแมวเลยด้วย...
.
ขณะที่มาร์ติเนกลับมาถึงมูลนิธิฯ... เธอก็เริ่มสำรวจร่างกายภายนอกลูกแมวขนสีดำตัวดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ได้กำลังป่วยเป็นโรคผิวหนัง ในตอนนั้นเองมาร์ติเนก็ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลูกแมวตัวน้อยอีกครั้ง ลูกแมวมีลักษณะโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไม่เหมือนลูกแมวตัวอื่นๆ ที่เธอเคยเห็นมา แต่ทว่าเธอก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าลูกสัตว์ตัวน้อยในมือเป็นสัตว์ชนิดไหนกันแน่...
.
“ตอนที่ฉันอุ้มเธอขึ้นมาดู ตัวของเธอค่อนข้างใหญ่กว่าลูกแมวทั่วๆ ไป อีกทั้งยังให้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนลูกแมวเอาเสียเลย”
มาร์ติเน กล่าว
.
หลังจากที่เกิดคำถามสงสัยอยู่พักใหญ่ มาร์ติเนจึงเรียกอาสาสมัครอีกคนเข้ามาช่วยหาคำตอบ หลังจากที่เพื่อนร่วมงานอีกคนของเธอได้เข้ามาสังเกตลูกแมวตัวน้อยใกล้ พวกเขาก็ให้ความเห็นว่า หน้าตาและรูปร่างของลูกแมวตัวดังกล่าวแตกต่างจากลูกแมวทั่วๆ ไปจริงๆ หลังจากที่มาร์ติเนพบว่าสิ่งที่เธอรู้สึกตั้งข้อสงสัยนั้นไม่ได้คิดเอาไปเอง เธอและเพื่อนร่วมงานจึงพาลูกแมวตัวน้อยไปที่โรงพยาบาลสัตว์ในพื้นที่เพื่อให้สัตวแพทย์ช่วยวิเคราะห์และให้คำตอบว่าลูกสัตว์ตัวน้อยที่เพิ่งช่วยมาคือลูกแมวจริงๆ หรือ ทว่าความจริงแล้วเป็นสัตว์ชนิดใด
.
คำถามยิ่งคาใจหลังจากเข้าพบสัตวแพทย์ที่โรงพยาบาลสัตว์ เมื่อสัตวแพทย์เองก็ไม่สามารถให้คำตอบระบุชัดเจนได้ว่าลูกสัตว์ตัวน้อยความจริงแล้วคือสัตว์ชนิดใด สายพันธุ์ไหนกันแน่...
.
“ตอนเราไปพบสัตวแพทย์ สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจมากและพูดขึ้นมาได้อย่างเต็มปากก็คือ เจ้าเด็กตัวน้อยเป็นตัวเมีย”
-มาร์ติเน กล่าว
.
เมื่อสัตวแพทย์ไม่สามารถให้คำตอบได้ มาร์ติเนจึงพาลูกแมวตัวน้อยเดินทางไปยังองค์กรช่วยเหลือสัตว์ป่าในเมือง และในที่สุดสถานที่แห่งนั้นก็สามารถช่วยไขปริศนาให้คำตอบที่มาร์ติเนและเพื่อนร่วมงานของเธอได้หายข้องใจเสียที เจ้าหน้าที่องค์กรช่วยเหลือสัตว์ป่าได้ยืนยันว่าลูกสัตว์ตัวน้อยที่อยู่ในความดูแลของมาร์ติเนไม่ใช่ลูกแมวบ้านอย่างแน่นอน แต่ทว่าเธอคือ "ลูกหมาจิ้งจอก" พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่าโดยตามปกติแล้วลูกหมาจิ้งจอกตัวเล็กๆ อายุยังน้อยพวกเขามักจะมีรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างคล้ายกับลูกแมว แต่จะมีขนสีเข้มกว่าจิ้งจอกที่มีอายุอยู่ในช่วงโตเต็มวัย ซึ่งสีขนที่เข้มนี้จะค่อยๆ จางลงเมื่อเริ่มเติบโตขึ้น... หลังจากที่มาร์ติเนได้ทราบความจริงว่าเธอเพิ่งช่วยลูกหมาจิ้งจอกเอาไว้กลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นแบบสุดๆ
.
“ตอนที่รู้ความจริง ฉันตื่นเต้นมากเลย ฉันสนใจสัตว์ป่ามาโดยตลอด และนามสกุลของฉัน Vos มันแปลว่า จิ้งจอก ในภาษาดัตช์ การได้พบเห็นน้องหมาจิ้งจอกตัวเป็นๆ คือสิ่งที่ฉันปรารถนา และเมื่อฉันได้อุ้มเธออยู่ในมือ ความรู้สึกเหมือนฝันเป็นจริงเลย ”
มาร์ติเน กล่าว
.
ตอนนี้ลูกหมาจิ้งจอกตัวดังกล่าวกำลังอยู่ในความดูแลขององค์กรช่วยเหลือสัตว์ป่า ซึ่งเมื่อเธอเติบโตขึ้น เจ้าหน้าที่ก็จะปล่อยเธอคืนสู่ป่าบ้านหลังใหญ่ของเธอตามเดิม สำหรับมาร์ติเนแล้ว ถึงแม้ว่าสัตว์ตัวจิ๋วจะไม่ใช่ลูกแมวอย่างที่เธอคิดเอาไว้ในตอนแรก แต่เธอก็รู้สึกยินดีและตื่นเต้นมากที่ได้ช่วยเหลือเอาไว้...
.
“ในฐานะอาสาสมัครช่วยเหลือแมว การได้ช่วยเหลือสัตว์ที่อยู่ในอันตรายคือสิ่งที่ฉันภูมิใจทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะลูกแมวตัวน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้ง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีได้เช่นกัน เพราะว่าฉันได้ช่วยเหลือลูกหมาจิ้งจอกที่น่าสงสารเอาไว้ ตอนนี้เธออยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญแล้ว และเมื่อเธอเติบโตขึ้น พวกเขาก็จะปล่อยเธอกลับคืนสู่ป่าต่อไป ฉันหวังว่าในอนาคตข้างหน้า เธอจะเติบโตขึ้นและแข็งแรง มีลูกตัวน้อย ๆ ออกมาเยอะ ๆ ”
มาร์ติเน กล่าว
.
เกร็ดความรู้เก็บมาฝาก
หมาจิ้งจอก หรือ สุนัขจิ้งจอก หรือเรียกสั้นๆ ว่า จิ้งจอก (fox) มีขนาดลำตัวที่เล็กกว่าน้องหมาบ้านทั่วไปและมีลักษณะคล้ายกับน้องหมาพันธุ์ไทยพื้นเมือง จมูกแหลมยาว หูใหญ่ชี้ตั้ง ฟันกรามแข็งแรงและแหลมคม หางยาวเป็นพวง ขนสีน้ำตาลแกมเหลือง หมาจิ้งจอกมีมากถึง 27 ชนิดเลยน่ะ และสามารถพบพวกเขาได้ทั่วโลก แม้กระทั่งขั้วโลกเหนือ พวกเขาสามารถปรับตัวให้เข้าได้กับทุกสภาพแวดล้อม สำหรับในประเทศไทยหมาจิ้งจอกจัดอยู่ในสัตว์ป่าคุ้มครองและพบได้เพียงแค่ 1 ชนิดเท่านั้น คือ หมาจิ้งจอกทอง หรือ หมาจิ้งจอกเอเชีย
.
หมาจิ้งจอกเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 2 ปี ระยะตั้งท้องนาน 2 เดือน ออกลูกครั้งละ 4-5 ตัว หมาจิ้งจอกมีอายุประมาณ 12 ปี
.
ชอบออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันมักจะนอนในโพรงดิน ปกติพวกเขาออกหากินเพียงลำพังหรือเป็นคู่ คือประมาณ 2- 4 ตัว ไม่ค่อยอยู่เป็นฝูง จะดุเมื่อจวนตัว
.
.
ขอบคุณข้อมูลจาก The Dodo, National Park Service, Wikimedia, Martine Vos
.
.
.
.
ช่วยกดไลก์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ Dog’s Clip ด้วยนะครับ
หากมีประสบการณ์ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของเหล่าเพื่อนสัตว์
อย่าลืมส่งมาแบ่งปันด็อกคลิปนะครับ เรื่องราวของคุณอาจสร้างแรงบันดาลใจ
หรือช่วยให้เหล่าเพื่อนสัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
กดเพื่อเข้าร่วมกลุ่มด็อกคลิป , กดเพื่อส่งเรื่องราวของคุณ หรือติดแฮชแท็ก #dogsclip
..................................................................
บทความโดย dogsclip.com
“บทความถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นใหม่ด้วยสำนวนของด็อกคลิป บทความมีลิขสิทธิ์ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก และ หรือ ดัดแปลงนำไปเผยแพร่ต่อเพื่อสร้างรายได้ก่อนได้รับอนุญาต”
.
.