หญิงจากรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกาขอบคุณน้องหมาไซบีเรียนที่เธอเลี้ยงเอาไว้อย่างสุดซึ้ง หลังพยายามแจ้งเตือนให้ทราบถึงความผิดปกติหลายครั้งเมื่อตรวจพบมะเร็งในร่างกายของเธอได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยวิธีการดมกลิ่น
.
"สเตฟานี เฮอร์เฟล" (Stephanie Herfel) เจ้านายของ "เซียร์ร่า" (Sierra) น้องหมาไซบีเรียน ได้เล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งให้กับสำนักข่าว ABC7 ประเทศสหรัฐอเมริกาฟังว่า เซียร์ร่ามีความสามารถในการตรวจหาสิ่งผิดปกติบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นภายในร่างกายของเธอได้และพยายามแจ้งเตือนให้ทราบหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีที่ทำให้เธอรู้ตัวก่อนและเร่งเข้ารับการตรวจร่างกายให้แน่ใจกับแพทย์ เมื่อพบว่ามีความผิดปกติจริงทำให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดการลุกลามของโรค
.
“ฉันเชื่อว่าเธอช่วยชีวิตของฉันเอาไว้และเธอจะยังคงทำแบบนั้นต่อไป ฉันขอบคุณเธอมาก...เซียร์ร่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตสำหรับฉัน ถ้าไม่มีเธอในวันนั้น วันนี้ฉันคงไม่ได้มานั่งให้สัมภาษณ์อยู่แบบนี้หรอกนะ”
สเตฟานีกกล่าวกับสำนักข่าว ABC7
.
สเตฟานีเล่าต่อไปว่าความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของเซียร์ร่านั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา ในตอนนั้นสเตฟานีป่วยและได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็น "ถุงน้ำที่รังไข่" หรือ "ซีสต์ที่รังไข่" ในระยะเริ่มต้นซึ่งมีอาการยังไม่รุนแรงมากนัก สเตฟานีจึงได้รับเพียงแค่ยาแก้ปวดและคุณหมอก็อนุญาตให้เธอกลับบ้านได้ แต่น้องหมาเซียร์ร่ารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่ถูกต้อง จึงพยายามเตือนสเตฟานีให้ทราบ
.
“เธอมักจะขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันแล้ววางจมูกลงบนท้องน้อยของฉัน ด้วยความไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังพยายามจะบอกฉันจึงไล่เธอลงไปนั่งข้างล่างอยู่บ่อยๆ”
สเตฟานีกล่าว
.
สเตฟานีไม่ได้รู้สึกเอะใจหรือสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของเซียร์ร่าน้องหมาของเธอเลย เมื่อไม่ได้รับความสนใจเซียร์ร่าจึงพยายามทำพฤติกรรมแบบนั้นซ้ำๆ อยู่อีกหลายครั้ง จนสเตฟานีเริ่มแปลกใจและพยายามทำความเข้าใจกับพฤติกรรมที่เซียร์ร่ากำลังแสดงออกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นความพยายามในการสื่อสารบอกอะไรบางอย่าง...
.
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สเตฟานีเกิดความกังวลใจและคิดถึงความเป็นไปในความหมายที่เซียร์ร่าพยายามจะสื่อสาร หนึ่งสิ่งที่สเตฟานีนึกถึงนั่นคือความผิดปกติในร่างกายของเธอ สเตฟานีตัดสินใจเดินทางไปตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้งกับแพทย์อีกคนหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอกำลังป่วยเป็นโรคถุงน้ำที่รังไข่จริงๆ ซึ่งหลังจากผลตรวจออกมา...มันทำให้สเตฟานีถึงกับรู้สึกทั้งอึ้ง! ตกใจ กลัวและแปลกใจไปในคราวเดียวกัน แพทย์วินิจฉัยว่าสเตฟานีกำลังป่วยเป็นมะเร็งที่บริเวณรังไข่ และเข้าสู่ระยะที่ 3 แล้วด้วย...
.
“ฉันกลัวมาก”
สเตฟานีกล่าว
.
หลังจากนั้นสเตฟานีก็เขารับการรักษาทันทีด้วยการผ่าตัดเอามดลูกทั้งหมดของเธอออกเพื่อป้องกันการลุกลามของเซลล์มะเร็ง หลังจากผ่านการผ่าตัดแล้วสเตฟานีก็ได้พักรักษาตัวและรับการรักษาอย่างต่อเนื่องนานอีกกว่า 6 เดือน และในตอนนั้นเธอก็กลับมาหายดีและแข็งแรงได้อีกครั้ง
.
เรื่องร้ายๆ เหมือนจะผ่านไปแล้ว กระทั่งเมื่อช่วงปี 2558 เซียร์ร่าก็เริ่มทำตัวแปลกๆ อีกครั้ง เธอเอาหัวมาพาดที่ตักและเอาจมูกมาดมที่บริเวณท้องเหมือนกับตอนที่พยายามบอกให้สเตฟานีทราบถึงมะเร็งร้ายในรังไข่เมื่อปี 2556 ไม่มีผิด แต่ในครั้งนี้สเตฟานีเข้าใจเซียร์ร่าได้เร็วขึ้นเธอจึงรีบไปตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจ...
.
“ฉันรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณช่องท้องของฉันอีกแน่ๆ”
สเตฟานีกล่าว
.
หลังจากการตรวจร่างกายเพียงไม่กี่วัน แพทย์ก็แจ้งข่าวร้ายให้เธอทราบว่า มะเร็งที่เคยหายไปได้กลับมาอีกครั้งแล้ว และคราวนี้มันกระจายไปที่บริเวณตับของเธอ สเตฟานีไม่เพียงแค่จะรู้สึกตกใจว่ามะเร็งได้กลับมาอีกครั้ง แต่ความสามารถในการตรวจพบมะเร็งอีกครั้งของเซียร์ร่าทำให้เธอรู้สึกตกใจมากไม่ต่างกัน ยิ่งทำให้สเตฟานีแน่ใจในพรสวรรค์ที่น่าทึ่งของเซียร์ร่า... และนั่นเป็นเสมือนความรักที่เซียร์ร่ามอบให้สเตฟานี เธอเป็นห่วงและพยายามดูแลเอาใจใส่นายรักของเธอ...
.
“เมื่อทราบผล...ความคิดหนึ่งก็พุดเข้ามาในหัวของฉันทันที ‘เซียร์ร่าบอกฉันอีกแล้ว’”
สเตฟานีกล่าว
.
เมื่อเรื่องราวการตรวจพบมะเร็งของเซียร์ร่านั้นชัดเจนอันเกิดจากประสบการณ์ซ้ำๆ จนทำให้สเตฟานีมั่นใจ เธอได้นำเรื่องราวความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของเซียร์ร่าไปบอกกับ "ดร.เดวิด คุชเนอร์" (David Kushner) ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาเจ้าของศูนย์มะเร็ง UW Carbone Cancer Center ที่เธอรักษาอยู่ให้ทราบด้วย ดร.เดวิด วิเคราะห์ว่าความสามารถน้องหมาเซียร์ร่าในการตรวจพบมะเร็งได้นั้นน่าจะเกิดขึ้นได้จริง...
.
“ผมไม่คิดว่าเธอจะคิดไปเองนะ ผมบอกกับเธอว่า ‘อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าน้องหมาของคุณสามารถรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติในร่างกายของคุณ’ ”
ดร.เดวิด กล่าว
.
.
ตามรายงานผลการวิจัยของ Experimental Biology สนับสนุนทฤษฎีของดร.เดวิดที่ว่า น้องหมาสามารถตรวจจับมะเร็งในร่างกายของมนุษย์ได้ งานวิจัยระบุว่าจมูกของน้องหมาสามารถระบุความถูกต้องของกลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์มากถึง 10,000 เท่า ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถระบุกลิ่นที่มนุษย์ไม่สามารถตรวจพบได้
.
เพื่อพิสูจน์งานวิจัยนี้ น้องหมาบีเกิลที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีได้เข้าร่วมการทดลองในครั้งนี้ด้วย โดยน้องหมาบีเกิลทั้ง 4 ตัวจะต้องทำการแยกตัวอย่างเลือดของคนปกติและเลือดของผู้ป่วยมะเร็งออกจากกัน ซึ่งหลังจบการทดลองทำให้ทราบผลว่า น้องหมาบีเกิลมีความแม่นยำมากถึง 97 เปอร์เซ็นต์ในการแยกตัวอย่างเลือดที่แตกต่างได้...
.
หลังจากปี 2558 เซียร์ร่ายังทำพฤติกรรมเดิมเพื่อแจ้งเตือนความผิดปกติในร่างกายของสเตฟานีซ้ำอีกถึง 2 ครั้ง และทั้ง 2 ครั้ง สเตฟานีไม่ได้นิ่งนอนใจยังคงเชื่อในความสามารถของเซียร์ร่า เธอจึงเดินทางไปเข้ารับการตรวจร่างกายกับแพทย์ให้แน่ใจทันที ซึ่งผลตรวจทั้ง 2 ครั้งแพทย์พบมะเร็งในร่างกายของสเตฟานี การตรวจพบของเซียร์ร่าเกิดขึ้นก่อนที่แพทย์จะตรวจพบด้วยซ้ำ
.
“เธอสามารถตรวจหามะเร็งในร่างกายของฉันได้ก่อนที่เครื่องสแกนจะสแกนเจอซะอีก”
สเตฟานีกล่าวด้วยความภูมิใจ
.
“เราเคยได้ยินหรือได้อ่านงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ผมคิดว่ากรณีของสเตฟานีนั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดในเรื่องนี้ เซียร์ร่าจะแจ้งให้เจ้านายของเธอทราบว่าส่วนไหนของร่างกายที่กำลังมีความผิดปกติ แม้ว่าในตอนนั้นสเตฟานีจะยังรู้สึกว่าตัวเองปกติดีอยู่ก็ตาม แต่เซียร์ร่ารู้ว่ามันไม่ใช่”
ดร.เดวิด กล่าว
.
.
ในตอนนี้สเตฟานีกำลังรักษาตัวและต่อสู้กับมะเร็งครั้งที่ 4 ของเธอ พร้อมกันนั้นสเตฟานียังแบ่งปันเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อนี้ให้กับเจ้านายของน้องหมาทุกๆ คนได้รับรู้และตระหนักถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของน้องหมาที่อาจจะกำลังบอกอะไรบางอย่างกับเจ้านายอย่างพวกเราอยู่
.
“เจ้านายทุกคนควรให้ความสนใจกับน้องหมาของคุณให้มากๆ สังเกตดูว่าพวกเขากำลังสื่อสารอะไรกับคุณในลักษณะที่ต่างออกไปจากเดิมหรือไม่ น้องหมาอาจจะกำลังบอกบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อกับคุณอยู่ก็ได้นะ”
สเตฟานีกล่าวทิ้งท้าย
.
.
ชมคลิปสัมภาษณ์ได้ที่นี่
.
หากเพื่อนๆ ชาวด็อกคลิป มีประสบการณ์พบเจอเรื่องราวน่ารักๆ เกี่ยวกับน้องหมาที่ทำให้เราอมยิ้มตาม หรือซาบซึ้งใจ อย่าลืมแวะมาเล่าและแบ่งปันให้เพื่อนๆ ชาวด็อกคลิปให้ฟังกันบ้างนะครับ ผ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์นี้หรือในกลุ่มด็อกคลิปวิลเลจ (Dog's Clip Village) ก็ได้นะครับ มาเป็นชาวด็อกคลิปวิลเลจ มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ
.
ขอบคุณข้อมูลจาก People, sciencedaily, wkow
.
.
.
.
ช่วยกดไลก์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ Dog’s Clip ด้วยนะครับ
หากมีประสบการณ์ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของเหล่าเพื่อนสัตว์
อย่าลืมส่งมาแบ่งปันด็อกคลิปนะครับ เรื่องราวของคุณอาจสร้างแรงบันดาลใจ
หรือช่วยให้เหล่าเพื่อนสัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
กดเพื่อเข้าร่วมกลุ่มด็อกคลิป , กดเพื่อส่งเรื่องราวของคุณ หรือติดแฮชแท็ก #dogsclip
..................................................................
บทความโดย dogsclip.com
“บทความถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นใหม่ด้วยสำนวนของด็อกคลิป บทความมีลิขสิทธิ์ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก และ หรือ ดัดแปลงนำไปเผยแพร่ต่อเพื่อสร้างรายได้ก่อนได้รับอนุญาต”
.
.
